แนะนำโดยคุณ WindReturn
Ten Books Every Investor Should Read
เบน จามิน แกรแฮม (บิดาแห่งนักลงทุนแนว VI) แนวคิดของเขาเกี่ยวกับการวิเคราะห์หลักทรัพย์ได้วางรากฐานให้กับนักลงทุน รุ่นต่อๆ มาซึ่งรวมถึงศิษย์เอกอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ในปี 1949 อ่านเข้าใจได้ง่ายกว่าหนังสือ “Security Analysis” ที่แกรมแฮมเขียนขึ้นเมื่อปี 1934 หนังสือ Intelligent Investor ไม่ได้สอนวิธีการเลือกหุ้น แต่จะเป็นหลักการพื้นฐานที่นักลงทุนควรมี บัฟเฟตต์ได้ให้คำนิยมไว้ว่า “เป็นหนังสือการลงทุนที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีการเขียน”
นัก วิเคราะห์ทางการเงินยุคบุกเบิกอีกคนคือ Philip Fisher เป็นผู้มีอิทธิพลอย่างมากต่อทฤษฏีการลงทุนสมัยใหม่ แนวคิดพื้นฐานของการวิเคราะห์หุ้นตั้งอยู่บนแนวโน้มการเจริญเติบโตของธุรกิจ หนังสือเล่มนี้ได้แนะนำนักลงทุนให้วิเคราะห์คุณภาพของบริษัทและความสามารถใน การทำกำไร หลังจากตีพิมพ์ครั้งแรกในทศวรรษ 1950 บทเรียนของฟิชเชอร์ถูกนำมาประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลายตลอดช่วงครึ่งศตวรรษที่ เหลือ
ศาสตราจารย์ จากโรงเรียนธุรกิจ Wharton, Jeremy Siegel ได้เสนอแนวทางใหม่ให้คุณ “ลงทุนในหุ้นเป็นเวลายาวนาน” เขาทำการศึกษาค้นคว้าอย่างละเอียดเป็นเวลามากกว่าสองทศวรรษ เพื่อการโต้แย้งว่า หุ้นสามัญให้ผลตอบแทนเหนือกว่าทรัพย์สินการเงินอื่นๆ รวมทั้ง หุ้นยังมีความปลอดภัยและคาดทำนายได้เมื่อเผชิญกับสภาวะเงินเฟ้อ
ปี เตอร์ ลินซ์ เริ่มมีชื่อเสียงในทศวรรษ 1980 จากการเป็นผู้จัดการกองทุน Fidelity Magellan Fund หนังสือ “Learn To Earn” เน้นไปยังนักลงทุนมือใหม่ และอธิบายพื้นฐานธุรกิจอย่างหลากหลาย “One Up On Wall Street” ยกตัวอย่างการทำกำไรตามแนวทางของลินซ์ และ “Beating The Street” เน้นวิธีการเลือกหุ้นตัวเก่ง (หรือทำไมเขาถึงพลาดหุ้นนั้น) ตลอดระยะเวลาที่เขาบริหารกองทุนแมกเจลแลน ลินซ์ใช้สามัญสำนึกในการเลือกหุ้น ซึ่งได้ยืนยันว่านักลงทุนรายย่อยถ้าทำการบ้านมาเป็นอย่างดี จะมีผลการลงทุนเทียบเท่าหรือดีกว่านักลงทุนมืออาชีพ
หนังสือ เล่มนี้ได้รับความนิยมจากแนวคิดที่ว่า ตลาดหุ้นเป็นตลาดที่มีประสิทธิภาพ ราคาของหุ้นเป็นไปตามทฤษฎี random walk (ที่กล่าวว่าราคาหุ้นผันแปรอย่างอิสระไม่ขึ้นอยู่กับหุ้นตัวอื่น ดังนั้นการเคลื่อนไหวหรือแนวโน้มของราคาในอดีตไม่สามารถจะนำมาใช้ทำนายราคา ในอนาคต) นั่นคือ Malkiel เชื่อว่าคุณไม่สามารถจะเอาชนะตลาดได้ ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์พื้นฐานหรือทางเทคนิค Malkiel ทำการศึกษาค้นคว้าตัวเลขสถิติมากมายก่อนที่จะสรุปเป็นทฤษฏีนี้ อย่างไรก็ตาม มีความเห็นขัดแย้งอย่างมากมาย แต่ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม การอ่านหนังสือเล่มนี้จะทำให้ได้ความรู้ถึงที่มาของทฤษฏีตลาดมีประสิทธิภาพ นี้
ถึง แม้ว่าบัฟเฟตต์จะไม่ค่อยให้ความเห็นเกี่ยวหุ้นที่เขาถืออยู่ แต่เขาชอบที่จะอภิปรายหลักการเบื้องหลังของการลงทุน หนังสือเล่มนี้ที่จริงเป็นการรวบรวมจดหมายที่บัฟเฟตต์เขียนถึงผู้ถือหุ้นใน ช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา เป็นบทสรุปเทคนิคการลงทุนของนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ของโลก หนังสืออื่นๆของบัฟเฟตต์ ก็มี “The Warren Buffet Way” by Robert Hagstrom
O’Neil เป็นผู้ก่อตั้ง Investor’s Business Daily หนังสือพิมพ์รายวันเกี่ยวกับธุรกิจการเงิน และเป็นผู้คิดค้นระบบ CANSLIM System ถ้าหากคุณสนใจในเรื่องการเลือกหุ้น วิธีนี้ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีเยี่ยม หนังสืออื่นๆ มักจะกล่าวถึงเรื่องทั่วๆ ไป ไม่มีเนื้อหาเฉพาะเจาะลึก แต่หนังสือ How to make money in stocks จะนำเสนอระบบที่ชัดเจน สามารถนำไปใช้งานได้
เป็น หนังสือบทเรียนของคนรวยที่สอนลูกเกี่ยวกับเงิน ซึ่งพ่อแม่ที่ยากจนหรือฐานะปานกลางมักจะละเลย เนื้อหาของ Robert Kiyosaki นั้นง่ายๆ แต่เต็มไปด้วยบทเรียนทางการเงินที่สำคัญซึ่งจะกระตุ้นคุณให้เริ่มการลงทุน คนจนหาเงินโดยการทำงาน ในขณะที่คนรวยหาเงินโดยการให้ทรัพย์สินช่วยทำงานให้ คงไม่มีหนังสือการเงินสำหรับเด็กที่จะดีกว่าเล่มนี้อีกแล้ว
John Bogle ผู้ก่อตั้ง Vanguad Group เขามีแรงกระตุ้นจากกรณีของ Index funds และ Mutual funds หนังสือของเขาเริ่มต้นด้วยกลยุทธ์การลงทุนก่อนจะโจมตีธุรกิจกองทุนรวม ที่คิดค่าธรรมเนียมผู้ลงทุนในราคาแพงลิบ ถ้าคุณถือหุ้นในกองทุนรวม คุณก็ไม่ควรจะพลาดเล่มนี้
มี ชื่อเสียงภายหลังจาก Alan Greenspan ได้ให้ความเห็นทางเสื่อมเสีย ในปี 1996 เกี่ยวกับความเหลวไหลของตลาดหุ้น หนังสือของ Shiller ตีพิมพ์เมื่อ มี.ค.2000 ให้คำเตือนที่เจ็บแสบว่าฟองสบู่ Dot Com กำลังจะแตก นักเศรษฐศาสตร์มหา’ลัยเยล โต้แย้งว่า ตลาดหุ้นนั้นมีเหตุมีผลด้วยข้อมูลที่มีและประสบการณ์ในอดีต สามารถอธิบายในลักษณะของอารมณ์ พฤติกรรมหมู่ และการเก็งกำไร หนังสือ Irrational Exuberance วางแผงแทบจะเป็นเวลาเดียวกับตลาดขึ้นสู่จุดสูงสุด
ยิ่ง คุณมีความรู้มากเท่าไร คุณก็สามารถจะนำคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญมาปรับใช้เป็นกลยุทธการลงทุนของคุณ เอง รายชื่อหนังสือเหล่านี้เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของความรู้ที่มีอยู่มากมาย ที่คุณจะค้นคว้าต่อไป
ที่มา http://www.investopedia.com/articles/basics/03/050803.asp
http://www.bangkokbiznews.com /home/details/business/ceo-blogs/viboon/20100531/118027/C-A-N-S-L-I- M-7-เคล็ดลับ-วิลเลียม-โอนิล.html
แนวคิดของฟิลิป ฟิชเชอร์ ก็น่าสนใจ มีอิทธิพลต่อแนวทางการลงทุนของปู่บัฟเฟตต์
เพิ่มมุมมองด้านการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ นอกเหนือไปจากการวิเคราะห์เชิงปริมาณ
ถึงแม้จะราคาสูง แต่ถ้าเป็นบริษัทที่มีคุณภาพ จ่ายแพงกว่าก็ยอม
หมายเหตุจาก admin : หนังสือหลายๆ เล่มที่กล่าวถึงมานี้ สามารถหาซื้อฉบับแปลได้จากสำนักพิมพ์ฟิเดลลิตี้ http://www.fp.co.th/
Ten Books Every Investor Should Read
“The Intelligent Investor ”(1949) by Benjamin Graham
เบน จามิน แกรแฮม (บิดาแห่งนักลงทุนแนว VI) แนวคิดของเขาเกี่ยวกับการวิเคราะห์หลักทรัพย์ได้วางรากฐานให้กับนักลงทุน รุ่นต่อๆ มาซึ่งรวมถึงศิษย์เอกอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ในปี 1949 อ่านเข้าใจได้ง่ายกว่าหนังสือ “Security Analysis” ที่แกรมแฮมเขียนขึ้นเมื่อปี 1934 หนังสือ Intelligent Investor ไม่ได้สอนวิธีการเลือกหุ้น แต่จะเป็นหลักการพื้นฐานที่นักลงทุนควรมี บัฟเฟตต์ได้ให้คำนิยมไว้ว่า “เป็นหนังสือการลงทุนที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีการเขียน”
“Common Stocks and Uncommon Profits”(1958) by Philip Fisher
นัก วิเคราะห์ทางการเงินยุคบุกเบิกอีกคนคือ Philip Fisher เป็นผู้มีอิทธิพลอย่างมากต่อทฤษฏีการลงทุนสมัยใหม่ แนวคิดพื้นฐานของการวิเคราะห์หุ้นตั้งอยู่บนแนวโน้มการเจริญเติบโตของธุรกิจ หนังสือเล่มนี้ได้แนะนำนักลงทุนให้วิเคราะห์คุณภาพของบริษัทและความสามารถใน การทำกำไร หลังจากตีพิมพ์ครั้งแรกในทศวรรษ 1950 บทเรียนของฟิชเชอร์ถูกนำมาประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลายตลอดช่วงครึ่งศตวรรษที่ เหลือ
“Stocks For The Long Run”(1994) by Jeremy Siegel
ศาสตราจารย์ จากโรงเรียนธุรกิจ Wharton, Jeremy Siegel ได้เสนอแนวทางใหม่ให้คุณ “ลงทุนในหุ้นเป็นเวลายาวนาน” เขาทำการศึกษาค้นคว้าอย่างละเอียดเป็นเวลามากกว่าสองทศวรรษ เพื่อการโต้แย้งว่า หุ้นสามัญให้ผลตอบแทนเหนือกว่าทรัพย์สินการเงินอื่นๆ รวมทั้ง หุ้นยังมีความปลอดภัยและคาดทำนายได้เมื่อเผชิญกับสภาวะเงินเฟ้อ
“Learn To Earn”(1995), “One Up On Wall Street”(1989) or “Beating The Street”(1994) by Peter Lynch
ปี เตอร์ ลินซ์ เริ่มมีชื่อเสียงในทศวรรษ 1980 จากการเป็นผู้จัดการกองทุน Fidelity Magellan Fund หนังสือ “Learn To Earn” เน้นไปยังนักลงทุนมือใหม่ และอธิบายพื้นฐานธุรกิจอย่างหลากหลาย “One Up On Wall Street” ยกตัวอย่างการทำกำไรตามแนวทางของลินซ์ และ “Beating The Street” เน้นวิธีการเลือกหุ้นตัวเก่ง (หรือทำไมเขาถึงพลาดหุ้นนั้น) ตลอดระยะเวลาที่เขาบริหารกองทุนแมกเจลแลน ลินซ์ใช้สามัญสำนึกในการเลือกหุ้น ซึ่งได้ยืนยันว่านักลงทุนรายย่อยถ้าทำการบ้านมาเป็นอย่างดี จะมีผลการลงทุนเทียบเท่าหรือดีกว่านักลงทุนมืออาชีพ
“A Random Walk Down Wall Street” (1973) by Burton G.Malkiel
หนังสือ เล่มนี้ได้รับความนิยมจากแนวคิดที่ว่า ตลาดหุ้นเป็นตลาดที่มีประสิทธิภาพ ราคาของหุ้นเป็นไปตามทฤษฎี random walk (ที่กล่าวว่าราคาหุ้นผันแปรอย่างอิสระไม่ขึ้นอยู่กับหุ้นตัวอื่น ดังนั้นการเคลื่อนไหวหรือแนวโน้มของราคาในอดีตไม่สามารถจะนำมาใช้ทำนายราคา ในอนาคต) นั่นคือ Malkiel เชื่อว่าคุณไม่สามารถจะเอาชนะตลาดได้ ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์พื้นฐานหรือทางเทคนิค Malkiel ทำการศึกษาค้นคว้าตัวเลขสถิติมากมายก่อนที่จะสรุปเป็นทฤษฏีนี้ อย่างไรก็ตาม มีความเห็นขัดแย้งอย่างมากมาย แต่ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม การอ่านหนังสือเล่มนี้จะทำให้ได้ความรู้ถึงที่มาของทฤษฏีตลาดมีประสิทธิภาพ นี้
“The Essays Of Warren Buffett : Lessons For corporate America”(2001) by Warren Buffet and Lawrence Cunning ham
ถึง แม้ว่าบัฟเฟตต์จะไม่ค่อยให้ความเห็นเกี่ยวหุ้นที่เขาถืออยู่ แต่เขาชอบที่จะอภิปรายหลักการเบื้องหลังของการลงทุน หนังสือเล่มนี้ที่จริงเป็นการรวบรวมจดหมายที่บัฟเฟตต์เขียนถึงผู้ถือหุ้นใน ช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา เป็นบทสรุปเทคนิคการลงทุนของนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ของโลก หนังสืออื่นๆของบัฟเฟตต์ ก็มี “The Warren Buffet Way” by Robert Hagstrom
“How to Make Money In Stocks” (2003, 3rd ed.) by William J. O’Neil
O’Neil เป็นผู้ก่อตั้ง Investor’s Business Daily หนังสือพิมพ์รายวันเกี่ยวกับธุรกิจการเงิน และเป็นผู้คิดค้นระบบ CANSLIM System ถ้าหากคุณสนใจในเรื่องการเลือกหุ้น วิธีนี้ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีเยี่ยม หนังสืออื่นๆ มักจะกล่าวถึงเรื่องทั่วๆ ไป ไม่มีเนื้อหาเฉพาะเจาะลึก แต่หนังสือ How to make money in stocks จะนำเสนอระบบที่ชัดเจน สามารถนำไปใช้งานได้
“Rich Dad Poor Dad” (1997) by Robert T. Kiyosaki
เป็น หนังสือบทเรียนของคนรวยที่สอนลูกเกี่ยวกับเงิน ซึ่งพ่อแม่ที่ยากจนหรือฐานะปานกลางมักจะละเลย เนื้อหาของ Robert Kiyosaki นั้นง่ายๆ แต่เต็มไปด้วยบทเรียนทางการเงินที่สำคัญซึ่งจะกระตุ้นคุณให้เริ่มการลงทุน คนจนหาเงินโดยการทำงาน ในขณะที่คนรวยหาเงินโดยการให้ทรัพย์สินช่วยทำงานให้ คงไม่มีหนังสือการเงินสำหรับเด็กที่จะดีกว่าเล่มนี้อีกแล้ว
“Common Sense On Mutual Funds” (1999) by John Bogle
John Bogle ผู้ก่อตั้ง Vanguad Group เขามีแรงกระตุ้นจากกรณีของ Index funds และ Mutual funds หนังสือของเขาเริ่มต้นด้วยกลยุทธ์การลงทุนก่อนจะโจมตีธุรกิจกองทุนรวม ที่คิดค่าธรรมเนียมผู้ลงทุนในราคาแพงลิบ ถ้าคุณถือหุ้นในกองทุนรวม คุณก็ไม่ควรจะพลาดเล่มนี้
“Irrational Exuberance”(2000) by Robert J.Shiller
มี ชื่อเสียงภายหลังจาก Alan Greenspan ได้ให้ความเห็นทางเสื่อมเสีย ในปี 1996 เกี่ยวกับความเหลวไหลของตลาดหุ้น หนังสือของ Shiller ตีพิมพ์เมื่อ มี.ค.2000 ให้คำเตือนที่เจ็บแสบว่าฟองสบู่ Dot Com กำลังจะแตก นักเศรษฐศาสตร์มหา’ลัยเยล โต้แย้งว่า ตลาดหุ้นนั้นมีเหตุมีผลด้วยข้อมูลที่มีและประสบการณ์ในอดีต สามารถอธิบายในลักษณะของอารมณ์ พฤติกรรมหมู่ และการเก็งกำไร หนังสือ Irrational Exuberance วางแผงแทบจะเป็นเวลาเดียวกับตลาดขึ้นสู่จุดสูงสุด
ยิ่ง คุณมีความรู้มากเท่าไร คุณก็สามารถจะนำคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญมาปรับใช้เป็นกลยุทธการลงทุนของคุณ เอง รายชื่อหนังสือเหล่านี้เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของความรู้ที่มีอยู่มากมาย ที่คุณจะค้นคว้าต่อไป
ที่มา http://www.investopedia.com/articles/basics/03/050803.asp
เทคนิค CANSLIM ของวิลเลียม โอนิล ที่มีการอ้างอิงถึงบ่อยๆ ดูเพิ่มเติมได้ตามลิงค์
http://www.bangkokbiznews.com /home/details/business/ceo-blogs/viboon/20100531/118027/C-A-N-S-L-I- M-7-เคล็ดลับ-วิลเลียม-โอนิล.html
แนวคิดของฟิลิป ฟิชเชอร์ ก็น่าสนใจ มีอิทธิพลต่อแนวทางการลงทุนของปู่บัฟเฟตต์
เพิ่มมุมมองด้านการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ นอกเหนือไปจากการวิเคราะห์เชิงปริมาณ
ถึงแม้จะราคาสูง แต่ถ้าเป็นบริษัทที่มีคุณภาพ จ่ายแพงกว่าก็ยอม
หมายเหตุจาก admin : หนังสือหลายๆ เล่มที่กล่าวถึงมานี้ สามารถหาซื้อฉบับแปลได้จากสำนักพิมพ์ฟิเดลลิตี้ http://www.fp.co.th/
ความคิดเห็น