ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เข้าใจในบัญชีต่าง ๆ ที่ใช้เทรดหุ้น

โดย red_devil

เข้าใจในบัญชีต่าง ๆ ที่ใช้เทรดหุ้นครับ

ใน ที่นี้ผมขอบอกรายละเอียดเกี่ยวกับบัญชีเงินสด และบัญชีเงินฝากเท่านั้นนะครับ สำหรับบัญชีมาร์จิ้นนั้นค่อนข้างจะยุ่งยากและผมมองว่าคนที่เทรดในบัญชีมาร์ จิ้นคงจะไม่ใช่มือใหม่แน่ ๆ ครับ

1. บัญชีเงินสด (Cash) ถ้าเปรียบเป็นบัญชีธนาคาร บัญชีเงินสดก็คือบัญชีบัตรเครดิตนั่นเองครับ ซึ่งหลักการในการพิจารณาวงเงินก็จะคล้าย ๆ กับที่ทางธนาคารพิจารณาเครดิตให้กับคุณนั่นแหละครับ โดยจะพิจารณาจากหลักทรัพย์ต่าง ๆ และข้อมูลทางการเงินต่าง ๆ ของคุณครับ โดยเมื่อพิจารณาได้วงเงินมาแล้วก็จะเป็นวงเงินสำหรับคุณในการซื้อหุ้นในระยะ เวลา 3 วันทำการครับ (สักครู่จะอธิบายครับว่าหลักการเป็นอย่างไร) และบัญชีเงินสดนี้คุณจะต้องมีการทำ ATS ไว้กับธนาคารต่าง ๆ ด้วยครับ เวลามีการซื้อหรือขาย จะนำเงินค่าขายและตัดค่าซื้อผ่านบัญชีธนาคารของคุณครับ (อันนี้ต้องทำครับหลีกเลี่ยงไม่ได้)

หลังจากได้วงเงินมาแล้ว คุณจะซื้อหุ้นได้ก็ต่อเมื่อ นำหลักประกันมาวางไว้ครับโดยคิดหลักประกันเป็น 15% ของวงเงินที่คุณจะซื้อหุ้นได้ใน 3 วันครับ งงกันมั้ยครับ

ตัวอย่าง ถ้าคุณได้วงเงินในบัญชีเงินสด 1,000,000.- บาท ขั้นแรกคุณต้องวางหลักประกัน (เงินสด, หลักทรัพย์) เป็น 15% ของวงเงินที่คุณต้องการเทรด ถ้าคุณวางเงินสดไว้ 150,000.- บาท คุณก็จะมีวงเงินเต็ม 1,000,000.- บาทในการซื้อหุ้น 3 วันทำการครับ แต่ถ้าคุณวางหลักประกันเพียง 15,000.- บาท คุณก็จะมีวงเงินเทรดเพียง 100,000.- บาท ครับ แต่ถ้าคุณวางหลักประกันมา 300,000.- บาท ก็จะยังคงได้วงเงินเพียง 1,000,000.- บาทเหมือนเดิมครับ ไม่ใช่ 2,000,000.- บาท เพราะวงเงินที่พิจารณาให้คุณมีเพียง 1,000,000.- บาทเท่านั้นครับ

เอาล่ะครับต่อไปจะยากขึ้นนะครับ เพราะต้องมาทำความเข้าใจกับกับระบบการคิดวงเงินเมื่อเกิดรายการแล้วล่ะครับ สมมุติว่าในวันที่ 1 คุณได้วงเงินมา 1,000,000.- บาท และวางหลักประกันเงินสด 15% ไว้เรียบร้อยแล้วจำนวน 150,000.- บาท ซึ่งคุณจะได้วงเงินเต็ม 1,000,000.- บาทครับ

วันที่ 1 หรือที่เราเรียกกันว่า วันที่ T = วันที่เกิดรายการทั้งซื้อ และขาย คุณมีวงเงิน 1,000,000.- บาท สมมุติซื้อหุ้นไป 300,000.- บาท นะครับ สิ้นวันวงเงินจะเหลือ 700,000.- บาท

วันที่ 2 วงเงินเริ่มจะมี 700,000.- บาทครับ ถ้าคุณซื้อหุ้นต่ออีก 500,000.- บาท วงเงินสิ้นวันก็จะเหลือ 200,000.- บาทแล้วครับ

วัน ที่ 3 วงเงินเริ่มต้นจะมี 200,000.- บาท ทีนี้ถ้าคุณขายออกมาล่ะ เอาเป็นขายออกมาสัก 400,000.- บาท แล้วกัน วงเงินก็จะกลับมาเป็น 600,000.- บาท ครับ

วันที่ 4 วงเงินเริ่มต้นจะมี 600,000.- บาท ถูกมั้ยครับ แต่เมื่อทางโบรกฯ ได้ตัดเงินค่าซื้อของคุณในวันที่ 1 จำนวน 300,000.- บาทแล้ว วงเงินคุณก็จะคืนมาอีก 300,000.- เป็น 900,000.- บาทแล้วครับ และสมมุติว่าวันนี้คุณไม่มีรายการแล้วกัน (อีกอย่างตัวหุ้นที่คุณซื้อในวันที่ 1 ก็จะกลับมาเป็นหลักประกันแทนด้วย ซึ่งจะรวมทั้งเงินสดที่ฝาก 15% ตั้งแต่ครั้งแรก และมูลค่าหุ้นที่คุณชำระเงินแล้วด้วยครับ)

วันที่ 5 วงเงินจะเริ่มที่ 900,000.- บาท และเมื่อทางโบรกฯ ได้รับเงินค่าซื้อของคุณในวันที่ 2 จำนวน 500,000.- บาท วงเงินคุณก็จะกลับมาเป็นจำนวน 1,000,000.- บาทเหมือนเดิมแล้วครับ (วงเงินในการซื้อจะไม่มีทางได้เกินจำนวนวงเงินที่ได้รับอนุมัติครั้งแรกครับ ต้องจำตรงนี้ไว้ด้วยครับ) ไม่ใช่ 900,000.- + 500,000.- นะครับ

ต่อ จากนั้นก็จะคิดไปแบบนี้เรื่อย ๆ ครับตามหลักเกณฑ์นี้ครับ วงเงินที่อนุมัติก็จะมีรอบ 3 วันทำการ ซึ่งตรงนี้มีลูกค้าหลายคนเข้าใจว่าเมื่อได้วงเงิน 1,000,000.- บาท ก็จะซื้อหุ้นได้แค่นั้นตลอดไป ซึ่งตรงนี้ไม่เกี่ยวกันครับ บางพอร์ตมีวงเงินซื้อขายแค่ 500,000.- บาท แต่หุ้นในพอร์ตอาจจะมีมูลค่าเป็น สิบล้านก็ได้ครับ เรียกว่าทะยอยซื้อสะสมไปเรื่อย ๆ ครับ แต่ซื้อทีละไม่เกิน 500,000.- บาทภายใน 3 วันแค่นั้นเองครับ พอเข้าใจหลักการนะครับ

** ข้อควรจำครับ **
ถ้า คุณถอนหลักประกันเงินสดออกมาหมดแล้ว (15% ที่วางไว้นั้นแหละครับ) โดยคุณมีหุ้นเป็นหลักประกันแทน ถ้าคุณขายหุ้นออกมาหมดพอร์ต แล้วไม่ได้ซื้อหุ้นติดพอร์ตไว้เลยในวันที่ขายจนหมด วันต่อไป ถ้าคุณจะซื้อคุณต้องวางหลักประกัน 15% ใหม่นะครับ เพราะถือว่าพอร์ตคุณไม่มีหลักประกันคงเหลือไว้เลยครับ ฉะนั้นแนะนำสำหรับผู้ที่เล่นแบบเก็งกำไร อย่าถอนหลักประกันเงินสดออกมาครับ ให้คาไว้อย่างนั้นแหละครับ แต่ถ้าคุณถือลงทุนยาว ๆ โดยไม่ว่าขายยังไง ๆ ก็ยังคงมีหุ้นติดพอร์ตไว้ตลอด ก็สามารถถอนหลักประกันเงินสดออกมาได้เลยครับ


2. บัญชีเงินฝาก Cash Balance บัญชีนี้คิดง่ายครับ เหมือนกับบัญชีออมทรัพย์ของธนาคานั่นแหละครับ วงเงินจะไม่ถูกกำหนดครับ แปลว่าคุณฝากเงินไว้กับโบรกฯ เท่าไหร่ คุณก็มีวงเงินเท่านั้นแหละครับ เช่นคุณฝากไว้ 1,000,000.- บาท คุณก็มีวงเงินตามจำนวนที่คุณฝากไว้นั้นแหละครับ

เมื่อคุณซื้อหุ้นไป แล้วจำนวนวงเงินก็จะลดลงตามไปด้วยครับ เช่น ถ้าคุณซื้อหุ้นไป 700,000.- บาท วงเงินคุณก็จะเหลือ 300,000.- ทันที บัญชีนี้จะไม่นับหุ้นที่อยุ่ในพอร์ตเป็นหลักประกันนะครับ เงินสดอย่างเดียวเพียว ๆ เลย ทีนี้ถ้าคุณซื้อหุ้นไปอีก 300,000.- วงเงินคุณก็จะหมดไปทันทีครับ ซึ่งถ้าคุณอยากซื้อหุ้นอีกก็ต้องนำเงินสดมาฝากไว้ตามจำนวนที่ต้องการซื้อ เพิ่มนั่นแหละครับ

ทีนี้เวลาคุณขายหุ้นละ มูลค่าการขายจะไปเพิ่มเป็นวงเงินทันทีครับ จากตัวอย่างข้างต้น ถ้าคุณขายหุ้นออกมา 700,000.- บาท วงเงินคุณก็จะกลับมาเป็น 700,000.- บาทครับ วงเงินในบัญชีนี้จะลดลงตามจำนวนที่คุณซื้อหุ้น และเพิ่มขึ้นตามจำนวนเงินที่คุณนำมาฝากและขายหุ้นออกมาครับ ซึ่งวงเงินตรงนี้จะยังไม่ไปเกี่ยวข้องกับบัญชีเงินฝากธนาคารนะครับจะเกี่ยว ข้องกับวงเงินในบัญชีซื้อขายหุ้นของคุณเท่านั้น จนกระทั่งเมื่อคุณขอถอนเงินออกมานั่นแหละครับ เงินที่ถอนออกมาจะไปเข้าบัญชีธนาคารที่คุณได้ตกลงทำ
ATS ไว้กับโบรกฯ นั่นแหละครับ

และบัญชีเงินฝาก Cash Balance นี่แหละครับที่เอาไว้สำหรับซื้อหุ้นที่ติด Turn Over List ที่ต้องโดนบังคับให้ซื้อในบัญชีเงินฝากครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การคำนวณ NAV เฉลี่ย

ถามเรื่องการคำนวณ NAV เฉลี่ยครับ อยากทราบวิธีการคำนวณ NAV เฉลี่ยของ SCBDV ครับ เพราะคิดว่ามันน่าจะเอาไปใช้กับตัวอื่นได้ด้วย คือ ตอนนี้ NAV เฉลี่ยของผมอยู่ที่ 11.6 ครับ มีหน่วยลงทุนทั้งหมด 1122 ครับ ถ้าผมต้องการให้ เหลือสัก 11 นี่ ผมควรจะต้องซื้อเพิ่มเท่าไรอ่ะครับ แบบว่าคำนวณไม่เป็นจิง ๆ นะครับ ^^'

ซื้อหุ้นจากบัญชี cash balance at ato/atc ต้องเหลือเงินเท่าไหร่ในบัญชีครับ (มือใหม่ครับ)

ผมพยายามจะซื้อหุ้นตัวนึงที่ atc (ราคาก่อนตั้งอยู่ที่ 2.06) ขนาดบวกลบคูณหาร ถ้าซื้อหุ้นตัวนี้ที่ราคา 2.06 หรือ 2.08 จะเหลือเงินในบัญชี 2500-3500 บาท ทางโปรแกรมยังปฎิเสธไม่ให้ซื้อเลยครับ บอกว่าวงเงินไม่พอที่จะซื้อ ... เลยอยากถามเพื่อนๆ ครับว่า เวลาตั้งซื้อหุ้นเวลา Ato/atc ควรจะให้เหลือเงินเท่าไหร่ในบัญชีดี ถึงจะซื้อได้ครับ ผมพยายามเปลี่ยนจำนวนหุ้นที่จะซื้อหลายครั้งมาก สรุปวันนี้ซื้อไม่ได้สักตัว T_T คำถามโดย playornot

ถ้าเรามีใบหุ้นแล้วต้องการเอาเข้าพอร์ตล่ะทำอย่างไร

ถ้าเรามีใบหุ้นแล้วต้องการเอาเข้าพอร์ตล่ะทำอย่างไร โดย red_devil ถ้า คุณมีพอร์ตและต้องการเอาใบหุ้นมาเข้าพอร์ตเผื่อขาย หรือเพื่อเป็นอะไรก็ตาม สามารถทำได้โดยนำใบหุ้นนั้นเซ็นต์สลักหลังในช่องผู้โอน แล้วนำไปเข้าพอร์ตได้เลยครับคนที่เซ็นต์สลักหลังต้องเป็นคนที่มีชื่อเป็น เจ้าของใบหุ้นนะครับ อย่างเช่นถ้าเพื่อนคุณต้องการเอาใบหุ้นมาฝากในพอร์ตคุณเพื่อขาย ต้องให้เพื่อนคุณเซ็นต์สลักหลังนะครับไม่ใช่คุณเซ็นต์ แล้วก็เอาเข้าพอร์ตชื่อคุณได้ครับ แต่ทางที่ดี ใครก็ตามที่ต้องการเอาใบหุ้นเข้าพอร์ตเพื่อขายหรือทำอะไรก็ตาม ไปเปิดพอร์ตเองเถอะครับ จะได้ไม่มีปัญหาทีหลังเปิดพอร์ตก็ไม่ยาก เสียค่าธรรมเนียมเพียง 30 บาท วิธีการเปิดบัญชีดูได้ในกระทู้เก่าครับ